สุภาษิตนี้ตามประวัติกล่าวว่า เป็นของสมเด็จพุฒาจารย์ (โต) วัดระฆังโฆสิตาราม เนื้อความของสุภาษิต แสดงถึงวิถีชีวิตของชาวบ้านในสมัยนั้น คือ สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ประมาณกว่า ๑๐๐ ปีมาแล้ว มีพฤติกรรมของพวกมิจฉาชีพ ในรูปแบบต่างๆ ที่ท่านได้ยกมาเป็นตัวอย่าง ให้ลูกศิษย์และคนทั่วไปได้รู้เท่าทัน จะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อของกลุ่มบุคคลดังกล่าว มีอยู่หลายกรณี ที่ยังนำมาใช้ได้ในยุคปัจจุบันและแม้ในอนาคต จะกล่าวกลอนสอนสูทุกหมู่ศิษย์
จงฟังคำจำไว้ให้เป็นนิจ | อุตส่าห์คิดข้อความไปตามกลอน |
อันสัญชาตินักเลงมิใช่ชั่ว | แต่ล้วนตัวปลิ้นปลอกทั้งหลอกหลอน |
ทนสบถปดไปไม่แน่นอน | ทำยอกย้อนแยบคายเป็นหลายกล |
ทำปราณีที่รักนี่หนักหนา | กล่าววาจาป้อยอต่อนุสนธ์ |
เรียกพ่อพ่อลวงล่อให้หลงลน | แต่พอจนมันก็ช้ำจนสิ้นตัว... |
...ชาตินักเลงแล้วก็เหลืออย่าเชื่อเลย | เป็นคนเคยพูดจามารยายอ |
ลางคนซื่อถือว่าเป็นพวกเพื่อน | มันกลับเชือนเอาไปบาทเสียอ้อต้อ |
ทำหน้าจนต้องจำระยำพอ | เพราะเชื่อพ่อหรือมิใช่อ้ายเจ๊กอื้อ |
บ้างวางโขลงโยงคลอพอเข้าบ่อน | เอาปี้ผ่อนส่งไว้ให้ช่วยถือ |
แล้วแทงก่อนผ่อนส่งจนเต็มมือ | ทำหารือว่าจะแทงก็ตามใจ |
เอาปี้เราที่เจ้าถือนั้นแทงเถิด | ถ้าถั่วเกิดแล้วก็ตามอัชฌาสัย |
ถึงเสียเล่าก็ไม่เอาให้เจ้าใช้ | อย่าตกใจเลยนะเจ้าจงแทงลง |
ที่เสียเล่าก็ไม่เอาเหมือนปากว่า | ที่ได้มาเล่าก็ให้ให้ใจหลง |
เห็นพอควรแล้วก็ชวนให้นั่งลง | แล้วยุส่งให้เข้าทำจนเกินการ |
อีกอย่างหนึ่งพึงรู้เป็นครูไว้ | มันเที่ยวไปทั้งบ่อนตำบลบ้าน |
เห็นผู้ดีมีทรัพย์ทำกราบกราน | เอาคาวหวานเข้าไปล่อแต่พองง |
ขอตั้งบ่อนลงได้ดังในนึก | แล้วตรองตรึกที่จะให้เจ้าบ้านหลง |
ทำพูดจาพาทีให้งวยงง | เชิญให้ลงไปบ่อนแล้วผ่อนปรน |
ทำอุบายแยบคายเป็นหลายท่า | เหมือนที่ว่ามาแล้วแต่ข้างต้น |
ให้เจ้าบ้านเสียทรัพย์จนอับจน | กลับเป็นคนปลิ้นปลอกทำซอกซอน... |
ลางทีก็ลงทุนให้กินเหล้า | แต่พอเมาจับตาพาเข้าบ่อน |
...ช่วยกันสวดบวชเสียด้วยลมลิ้น | จนหมดสิ้นข้าวของต้องจำนำ |
ลางทีเล่าเล่นตรุษสงกรานต์ส่ง | แล้วตั้งวงเล่นเลยไปยังค่ำ |
เพลินเล่นเบี้ยเสียทรัพย์ยับระยำ | เพราะไม่จำคำครูผู้สอนมา |
หนึ่งแปะโปแปดเก้านั้นเล่าหนอ | ช่างขี้ฉ้อล่อลวงที่หนักหนา... |
....ยังพวกฝิ่นกินยาทำหน้าซื่อ | ไม่อึงอื้อเหมือนกับคนไม่รู้เที่ยว |
ทำเดินเลาะเดาะไปแต่ผู้เดียว | เห็นที่เปลี่ยวแล้วก็นั่งชำเลืองแล |
ถ้าเห็นเด็กเดินมาทำปราศัย | เห็นผู้ใหญ่แล้วนั่งไม่แยแส |
ทำพูดจางุบงิบขยิบแล | มานี่แน่ข้าจะบอกที่ของดี |
เอายาฝิ่นส่งให้เห็นพอหอมหอม | แล้วกล่าวกล่อมว่าจะลองก็มานี่ |
ไม่รู้รสดอกหรือน้องเป็นของดี | ลองสักทีเถิดนะพ่อมิเป็นไร |
มันตั้งเพียรเวียนลอบมาหาบ่อย | เอาของเล่นเล็กน้อยมาอ่อยให้ |
ล่อให้เชื่องแล้วก็ชักให้ติดใจ | เที่ยวคบไว้พอได้กินเมื่อสิ้นอด |
เจ้าเด็กรักลักส่งไม่วายวัน | ทั้งผ้าผ่อนจอกขันมันไม่ลด |
ทั้งพ่อแม่พี่น้องเงินทองหมด | ด้วยมันอดเข้าไม่ได้อายใจตน |
มันรักเพื่อนยิ่งกว่าพ่ออ้ายคอยา | ถึงครูบาก็ไม่เว้นทำเข็ญค่น... |
...ยังพวกเหล่ากัญชาทำหน้าเซอะ | ขี้ฟันเลอะอกแห้งมักอยากหวาน |
ทำตาปรือลือกันประสาพาล | ไม่ทำการเที่ยวหากินกัญชาเชือน |
เอาไฟดุ้นเข้าจ่อชักคอก่ง | พอตกเพลาะแล้วก็ส่งให้พวกเพื่อน |
ทำหน้าเงยเหมือนจะเสยเอาดวงเดือน | ใครทำเหมือนแล้วก็ชมกันว่าดี |
บ้างอัดอั้นควันไว้มิใคร่ปล่อย | เรียกทองย้อยตั้งน้ำไปตามที่ |
เรียกมังกรล่อแก้วนั้นก็มี | ทำท่วงทีส่ายหน้าท่ามังกร |
ควันกัญชาเข้าคอหัวร่อแห้ง | ทั้งเรี่ยวแรงเล่าก็หมดมือตีนอ่อน |
ทำตาเล็กซึมเซาเหมือนหาวนอน | แลเห็นขอนก็ว่าคนหนีซนไป |
แลเห็นเชือกก็ว่างูไม่รู้จัก | ใครร้องทักก็ให้กลัวไม่อยู่ได้ |
เห็นมือชี้เล่าก็หนีออกไปไกล | ให้ตกใจเหมือนตั้งจ่อเข้าตรงตา... |
ยังพวกโจรใจดื้ออวดมือดี | เที่ยวรอบลี้ฉกชิงวิ่งเอาผ้า |
เห็นที่เปลี่ยวเที่ยวคอยคนเดินมา | เห็นชอบท่าแล้วก็ชิงวิ่งหนีไป |
ลางทีเห็นเด็กน้อยใส่ปิ่นปัก | ทำเดินเคียงเข้าไปชักเอาจนได้ |
ลางทีทำพูดผลอล่อเอาไป | คัดกำไลตีนมือแล้วปล่อยมา... |
ยังพวกหนึ่งขี้ฉ้อทำล่อหลอก | มันปลิ้นปลอกลวงเอาเป็นหลายท่า |
เห็นพระสงฆ์บิณฑบาตท่านเดินมา | ทำมารยาเข้านิมนต์เหมือนคนดี |
ว่าคุณยายจะถวายซึ่งข้าวสงฆ์ | นิมนต์คุณเดินตรงขึ้นเรือนนี้ |
รับบาตรได้ไพล่ลัดไปทันที | พระสงฆ์รี่ขึ้นเรือนแล้วนั่งลง |
เจ้าเรือนรู้ให้รับไปตามหา | ว่าใครมาแต่ไหนมาลวงสงฆ์ |
อ้ายขี้ฉ้อล่อลวงเอาตรงตรง | มันจะลงนรกตกเวจี |
คนหนึ่งเอาหมากใส่จอกมา | กล่าวมายาว่าดิฉันตกเว็จขี้ |
จะขอรดน้ำมนต์พ้นอัปรีย์ | ยังสองทีก็สิ้นจังไรไป |
ได้ห้าวัดแล้วเจ้าคุณเอาบุญเกิด | เหมือนดังโปรดให้เกิดเอาชาติใหม่ |
จะขอยืมเอาบาตรเจ้าคุณไป | ได้ตักน้ำมาให้ทำน้ำมนต์ |
พระพาชื่อส่งบาตรให้ทันที | บัดเดียวใจมันก็หนีไม่เห็นหน |
อ้ายเจ้าเล่ห์ล่อลวงเป็นหลายกล | แต่ล้วนคนคอฝิ่นกินสุรา... |
อ้ายคนหนึ่งนั่งหน้าศาลาน้ำ | เห็นเขาทำทอดกล้วยอยู่ฉ่าฉ่า |
คิดได้การแล้วก็กล่าวเป็นมารยา | ว่าได้ยินเขาว่าน่าสงสัย |
กระทะทอดกล้วยตั้งดั่งท่านทำ | อ้ายเจ้ากรรมมันลักเอาไปได้ |
นางแม่ค้าร้องว่าทำอย่างไร | มันบอกไปว่าจะทำให้ท่านดู |
ส่งพายมาให้เถิดข้าจะทำ | นางเจ้ากรรมสงสัยจะใคร่รู้ |
หยิบพายส่งจงใจจะใคร่ดู | มันคอนหูพาหายไปทันที... |
อ้ายเด็กหนึ่งเที่ยวเดินตามตะพาน | ทำอาการร้องไห้อยู่อู้อี้ |
พระไปสรงน้ำคิดจิตปราณี | ว่าอ้ายนี่อยู่ที่ไหนร้องไห้มา |
มันบอกว่าพ่อข้ามาบางกอก | เขาชวนบอกว่าจะพามาหา |
ฉันไม่รู้เล่ห์กลคนมารยา | ลงเรือมากับเขาไม่เข้าใจ |
พระชีต้นมีจิตคิดสงสาร | มานี่หลานกูจะคิดช่วยแก้ไข... |
อ้ายลูกเจ้ามารยาทำหน้าเศร้า | กินข้าวเหมือนจะกลืนลงไม่ได้ |
ชีต้นปลอบว่าเองอย่าเสียใจ | กินเข้าไปให้อิ่มเถิดหลานชาย |
ครั้นรุ่งเช้าก็เข้าไปบิณฑบาต | อ้ายมารยามันก็กวาดเอาง่ายง่าย |
ครั้นกลับมาเรียกหาเห็นผ้าหาย | ทีนี้ร้ายแล้วสิเราอ้ายเจ้ากล... |
อ้ายคนหนึ่งตัวดีเห็นสีกา | ถือพานหมากขึ้นมาเข้าตามก้น |
ทำอย่างสุกกระสารเข้าปลอมพล | เข้าปะปนอยู่กับเขาที่เข้ามา |
สีกาส่งเภสัชให้ประเคน | แล้วพาเณรกลับคืนมาตีนท่า |
มันทำดีทีตามเขาลงมา | พอลับตาแล้วก็กลับเข้าไปใหม่ |
ว่าท่านใช้ให้เอาพานลงไปด้วย | เจ้าคุณช่วยโปรดถ่ายส่งมาให้ |
พอได้พานแล้วก็ลงบันไดไป | อ้างจังไรเช่นนี้ก็ดีพอ... |
อีกคนหนึ่งเป็นหญิงยิ่งขยัน | ช่างพูดจาแปรผันเชิงขี้ฉ้อ |
ทั้งน้ำคำเล่าก็เพราะเสนาะพอ | นำไปรออยู่ที่ร้านบ้านผู้ดี |
ว่าดิฉันเอาของมากราบเท้าท่าน | แต่โต๊ะพานไม่มีมาน่าบัดสี |
จะได้โต๊ะที่ไหนมาใส่ดี | เอ็นดูทีเถิดนะแม่ช่วยแก้ไว |
นางหนึ่งนั่งอยู่ที่ร้านคิดว่าจริง | ให้คนวิ่งไปเอาโต๊ะมาส่งให้... |
| ...อีมารยามันก็เห็นจะเหลือมือ |
จึงยืมเอากระจาดเจ้าของร้าน | ใส่โต๊ะพานพาไปเหมือนใจซื่อ |
อีลาวว่าส่งมาข้าขะช่วยถือ | จะช่วยหรือเอาพานนี่แน่ไป |
ครั้นมาถึงท่าน้ำตะพานมอญ | ว่าหยุดก่อนคอยเรือประเดี๋ยวได้ |
อีลาววางพานลงส่งเบี้ยไพ | ว่าเจ้าไปซื้อหมากเขามากิน |
อีลาวซื่อซื้อหมากมิทันมา | อีมารยามันก็ยกเอาไปสิ้น |
อีเจ้ากรรมทำกลเที่ยวหากิน | มันสุดสิ้นข้อคดขี้ปดคน |
คนหนึ่งต่อเรือฟืนถามราคา | แล้วว่าข้าจะพาขึ้นไปขน |
เอ็นดูด้วยช่วยแจวไปบ้านบน | ให้มันขนแล้วจึ่งคิดราคากัน |
ครั้นถึงที่จอดท่าเดินขึ้นไป | ถามว่าท่านไปไหนเจ้าคุณฉัน |
เอาฟืนมากราบเท้าสักสองพัน | พ่อคนนั้นช่วยไปเรียนกับท่านที... |
...เจ้าคนลวงได้ทีก็ขึ้นไป | คำนับไหว้แล้วหมอบลงตรงหน้า |
ว่าดิฉันเป็นบ่าวของคุณมา | ก็ตั้งหน้าทำมาหากินไป... |
| ...เอาฟืนมาให้สักสองพัน |
ยังข้าวของอยู่ที่เรือตรงนี้ข้าม | จะเอามาก็ไม่งามในใจฉัน |
ให้ขนฟืนไปพลางจะช้าวัน | ตัวดิฉันจะไปเอาข้าวของมา |
ขอยืมโต๊ะโตกพานสักห้าใบ | จะเอาไปใส่ของพองามหน้า |
ท่านผู้หญิงก็ให้คนขนลงมา | มันก็ลาจากเรือนลงมาเรือ |
ร้องว่าให้เขาขนขึ้นไปก่อน | ฟืนร่อนนี้กระไรดุ้นใหญ่เหลือ |
ข้าข้ามไปเอาของที่ในเรือ | เห็นจะเหลือโต๊ะพานที่เอามา |
ลงเรือน้อยข้ามตรงไปสูญหาย | ตะวันบ่ายแล้วก็วุ่นกันหนักหนา |
ทั้งเจ้าฟืนก็จะเอาซึ่งราคา... |
|
| ...มันน่าอายนี่กระไรทุกเส้นขน |
ทั้งเสียโต๊ะเสียหน้ามารยาคน | อ้ายเจ้ากลเจ้ากรรมมันทำดี |
อ้ายคนหนึ่งทำทีมีศรัทธา | นั่งต้นท่าร้องถามไปตามที่ |
ว่าอิฐใหญ่ได้ขนาดชนิดนี้ | เผาสุกดีอยู่หรือจะซื้อเอา |
ถนนข้าสร้างไว้ฝากข้างโน้น | วัดประโดนหลังแพนั้นแน่เจ้า |
ทำบุญด้วยกันเกิดพี่น้องเรา | เจ้าจะเอาราคาข้าเท่าไร |
มอญบอกราคาพอสมควร | ทำกระบวนว่าพออัชฌาสัย |
ทำบุญด้วยกันบ้างเกิดเป็นไร | แต่พอให้พระสงฆ์เดินสบาย |
ต่อราคากันแล้วก็ลงเรือ | เจ้ามอญเชื่อถอยเรือรับไปง่ายง่าย |
ครั้นถึงใกล้ท่าวัดที่แพราย | กล่าวอุบายบอกมอญเข้าจอดเรือ |
ขึ้นซื้อผ้าว่าท่านจะทำบุญ | เจ้าประคุณนี่กระไรศรัทธาเหลือ |
แต่ว่าท่านจะใคร่ดูให้รู้เนื้อ | ขอยืมเรือไปหน่อยประเดี๋ยวใจ... |
...เจ้าคนร้ายลงเรือเลี้ยวหลังแพ | เห็นรับแลแล้วก็พายขยุ้มใหญ่ |
ข้างชาวแพคอยคอยเห็นช้าไป | ก็ตกใจได้คิดขึ้นทันที |
ถามเรืออิฐว่าคนนั้นเขาไปไหน | เขาขึ้นไปข้างบนเมื่อกี้นี่... |
...ข้านึกว่าเจ้ามอญรู้จักกัน | คิดไม่ทันจึงให้ไปเฉยเลย |
จะทำกระไรเล่าเจ้ามอญเอย | มันหนีเลยไปแล้วโอ้อกเรา... |